บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนในราวิชาอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โครงสร้างภาษีบุคคลธรรมดา (9): ลดอัตราภาษีเพื่อความสมดุลและเสมอภาค

ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้มาแล้วหลายครั้ง ที่ถือว่าเป็นปรับครั้งใหญ่ที่สุดคือปี 2535 ตรงกับรัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ในครั้งนั้น กรมสรรพากรปรับโครงสร้างภาษีทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีการนำภาษีมูลค่าเพิ่มมาใช้แทนภาษีการค้า พร้อมกับปรับโครงสร้างอัตราภาษีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 50% ลดเหลือ 37% ของเงินได้สุทธิ ซึ่งมีผลบังคับใช้มาจนถึงปัจจุบัน
แหล่งข่าวจากกรมสรรพากรกล่าวว่า ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการออกแบบโครงสร้างภาษีของไทยในสมัยนั้นคือ นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการกองนโยบายและแผนภาษี กรมสรรพากร เหตุผลที่ปรับลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมลงมาเกือบทุกช่วงของเงินได้สุทธิ มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีเงินได้หรือภาษีทางตรง (Income tax) ให้มีความสมดุลและเสมอภาค ซึ่งได้ใช้ต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลาเกือบ 10 ปี
จนกระทั่งมาถึงช่วงปลายปี 2554 รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% ในปี 2555 และจะลดเหลือ 20% ในปี 2556 เหตุผลเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
โครงสร้างภาษีเงินได้ของไทยมี 2 ประเภท คือ 1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เก็บจากบุคคลธรรมดา ห้างหุ้นส่วนสามัญ คณะบุคคลในอัตรา 30% ของรายได้สุทธิ โดยรายได้ของคนกลุ่มนี้ เมื่อเสียภาษีแล้วนำเงินไปใช้ต่อ จะไม่ต้องเสียภาษี เช่น กองมรดกเสียภาษีแล้ว ต่อมายกให้กับทายาท ทายาทไม่ต้องเสียภาษี รวมทั้งเงินได้ของคณะบุคคล หากเสียภาษีแล้ว นำเงินกำไรส่วนที่เหลือไปแบ่งให้คนในคณะบุคคล ก็ไม่ต้องเสียภาษีอีก ถือว่าเป็นหน่วยภาษีที่เล็กที่สุด (Tax entity)
ขณะที่การจัดภาษีเงินได้นิติบุคคลของไทยมี 2 ระดับ คือ 1. เก็บจากกำไรสุทธิ 30% และ 2. เก็บภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% จากเงินปันผลกำไร ยกตัวอย่าง ก่อนปี 2555 บริษัทมีกำไรสุทธิ 100 บาท จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล 30 บาท เหลือกำไรสะสม 70 บาท กำไรส่วนที่เหลือนี้กรมสรรพากรประเทศสิงค์โปร์ถือว่าเป็น Tax entity ไม่ต้องเสียภาษีแล้ว แต่กรมสรรพากรไทยยังตามไปเก็บภาษีต่อ เมื่อบริษัทนำเงินกำไรส่วนที่เหลือ 70 บาท ไปจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 10% อีก 7 บาท เป็นระดับที่ 2 รวมแล้วกรมสรรพากรเก็บภาษีเงินได้กับนิติบุคคลทั้งหมด (Total income tax) เท่ากับ 37 บาท หรือ 37% ของกำไรสุทธิ สรุป ไม่ว่าจะประกอบธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็เสียภาษีเท่ากัน
ส่วนผู้ถือหุ้น (Shareholder) เมื่อได้รับเงินปันผลไปแล้ว กรมสรรพากรอนุญาตให้ผู้เสียภาษีเลือกได้ว่าจะยอมให้หัก ณ ที่จ่าย 10% แล้วจบ ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีประจำปี หรือจะนำมารวมคำนวณภาษีก็ได้
ทั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเหลือ 23% ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 เป็นต้นไป บริษัทมีกำไรสุทธิ 100 บาท เสียภาษี 23 บาท เหลือกำไรสะสม 77 บาท นำไปจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นถูกหัก ณ ที่จ่าย 7.7 บาท ผู้ถือหุ้นของบริษัทมีภาระภาษีโดยรวมลดลงเหลือแค่ 30.7 บาท และตั้งแต่ต้นปี 2556 เป็นต้นไป ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลงเหลือ 20% ของกำไรสุทธิ ผู้ถือหุ้นของบริษัทจะมีภาระภาษีลดลงมาเหลือ 28% จากเดิมมีภาระภาษีโดยรวมที่ 37% ปี 2555 ลดลงเหลือ 30.7% และปี 2556 เป็นต้นไป ภาระภาษีลดลงเหลือ 28% อย่างถาวร
ที่มา http://thaipublica.org/2012/06/personal-income-tax-structure-9/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น