- เช่าที่ดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นหรือแพ ทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาทแห่งค่าเช่า หรือเงินกินเปล่า หรือทั้ง2อย่างรวมกัน
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ให้เช่า
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้เช่า
- ข้อยกเว้น การเช่าทรัพย์สินที่ใช้ในการทำนา ไร่ สวน
- โอนใบหุ้น ใบหุ้นกู้ พันธบัตรและใบรับรองหนี้ ซึ่งบริษัท สมาคม คณะบุคคล หรือองค์กรใดๆ เป็นผู้ออก ให้คิดตามราคาหุ้นที่ชำระแล้วหรือตามราคาในตราสาร แล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า ทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้โอน
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับโอน
- ข้อยกเว้น
- การโอนพันธบัตรของรัฐบาลไทย
- การโอนใบหุ้น ใบหุ้นกู้ และใบรับรองหนี้ ซึ่งสหกรณ์ หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรเป็นผู้ออก
- เช่าซื้อทรัพย์สิน ทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาทแห่งราคาทั้งหมด
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ให้เช่า
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้เช่า
- ข้อยกเว้น การเช่าซื้อทรัพย์สินที่ใช้ในการทำนา ไร่ สวน
- จ้างทำของ ทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาทแห่งสินจ้างที่กำหนดไว้
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับจ้าง
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับจ้าง
- ข้อยกเว้น การเช่าซื้อทรัพย์สินที่ใช้ในการทำนา ไร่ สวน
- กู้ยืมเงินหรือการตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคาร ทุกจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาทแห่งยอดเงินให้กู้ยืม หรือตกลงให้เบิกเงินเกินบัญชี โดยมีจำนวนเงินสูงสุดที่ต้องเสียอยู่ที่ 10,000 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ให้กู้
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้กู้
- ข้อยกเว้น การกู้ยืมเงินซึ่งสมาชิกกู้ยืมเงินจากสหกรณ์, สหกรณ์กู้ยืม หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
- กรมธรรม์ประกันภัย โดยแยกเป็น
- กรมธรรม์ประกันวินาศภัย ทุกจำนวนเงิน 250 บาท หรือเศษของ 250 บาทแห่งเบี้ยประกันภัย
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับประกันภัย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับประกันภัย
- กรมธรรม์ประกันชีวิต ทุกจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาทแห่งจำนวนเงินที่เอาประกันภัย ซึ่งเป็นเงินค่าอากรแสตมป์ไม่เกิน 20 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับประกันภัย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับประกันภัย
- กรมธรรม์ประกันภัยอื่นๆ ทุกจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาทแห่งจำนวนเงินที่เอาประกันภัย
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับประกันภัย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับประกันภัย
- กรมธรรม์เงินปี ทุกจำนวนเงิน 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาทแห่งต้นทุนเงินปีนั้น ถ้าไม่มีต้นทุนเงินปีให้คิดทุก 2,000 บาทหรือเศษของ 2,000 บาทแห่ง 33 1/3เท่าของรายได้ประจำปี
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับประกันภัย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับประกันภัย
- กรมธรรม์ประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยนำไปให้ผู้อื่นประกันอีกต่อหนึ่ง
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับประกันภัย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับประกันภัย
- บันทึกการต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัยเดิม
- ค่าอากรแสตมป์ ครึ่งหนึ่งของอัตราเดิม
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับประกันภัย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับประกันภัย
- ข้อยกเว้น
- การประกันภัยสัตว์พาหนะ ซึ่งใช้ในการเกษตรกรรม
- บันทึกการประกันภัย หรือกรมธรรม์ประกันภัยชั่วคราว ซึ่งจะมีการออกตัวจริงต่อมา
- กรมธรรม์ประกันวินาศภัย ทุกจำนวนเงิน 250 บาท หรือเศษของ 250 บาทแห่งเบี้ยประกันภัย
- ใบมอบอำนาจ แบ่งเป็น
- มอบอำนาจให้บุคคลเดียว หรือหลายคน กระทำการครั้งเดียว
- ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้มอบอำนาจ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับมอบอำนาจ
- มอบอำนาจให้บุคคลเดียว หรือหลายคน ร่วมกันกระทำการมากกว่าครั้งเดียว
- ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้มอบอำนาจ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับมอบอำนาจ
- มอบอำนาจให้กระทำการมากกว่าครั้งเดียว โดยให้บุคคลหลายคนกระทำแยกกันได้ ให้คิดเป็นรายตัวบุคคล
- ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้มอบอำนาจ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับมอบอำนาจ
- ข้อยกเว้น
- ใบแต่งตั้งทนาย และใบมอบอำนาจให้ทนายความเพื่อเป็นตัวแทนดำเนินคดีในศาล
- ใบมอบอำนาจให้โอน หรือให้กระทำการใดๆที่เกี่ยวกับสัตว์พาหนะ
- ใบมอบอำนาจให้รับเงิน หรือสิ่งของตอบแทน
- ใบมอบอำนาจซึ่งสหกรณ์เป็นผู้มอบ และใบมอบอำนาจตั้งสหกรณ์เป็นตัวแทนจัดการให้ สหกรณ์ได้รับสิทธิในอสังหาริมทรัพย์
- มอบอำนาจให้บุคคลเดียว หรือหลายคน กระทำการครั้งเดียว
- ใบมอบฉันทะสำหรับให้ลงมติประชุมของบริษัท แบ่งเป็น
- มอบฉันทะสำหรับการประชุมครั้งเดียว
- ค่าอากรแสตมป์ 20 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้มอบฉันทะ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้มอบฉันทะ
- มอบฉันทะสำหรับการประชุมมากกว่าครั้งเดียว
- ค่าอากรแสตมป์ 100 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้มอบฉันทะ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้มอบฉันทะ
- มอบฉันทะสำหรับการประชุมครั้งเดียว
- ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตราสารทำนองเดียวกัน แบ่งเป็น
- ตั๋วแลกเงิน หรือตราสารทำนองเดียวกันที่ใช้อย่างตั๋วแลกเงิน ฉบับละ
- ค่าอากรแสตมป์ 3 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้สั่งจ่าย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้สั่งจ่าย
- ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตราสารทำนองเดียวกันที่ใช้อย่างตั๋วสัญญาใช้เงิน ฉบับละ
- ค่าอากรแสตมป์ 3 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ออกตั๋ว
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ออกตั๋ว
- ตั๋วแลกเงิน หรือตราสารทำนองเดียวกันที่ใช้อย่างตั๋วแลกเงิน ฉบับละ
- บิลออฟเลดิง
- ค่าอากรแสตมป์ 2 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้กระทำตราสาร
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้กระทำตราสาร
- ตราสารทางธุรกิจ แยกเป็น
- ใบหุ้น หรือใบหุ้นกู้ หรือใบรับรองหนี้ของบริษัท สมาคม คณะบุคคล หรือองค์การใดๆ
- ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ทรงตราสาร
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ทรงตราสาร
- พันธบัตรของรัฐบาลใดๆ ที่ขายในประเทศไทย
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ทรงตราสาร
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ทรงตราสาร
- ข้อยกเว้น ตราสารของสหกรณ์
- ใบหุ้น หรือใบหุ้นกู้ หรือใบรับรองหนี้ของบริษัท สมาคม คณะบุคคล หรือองค์การใดๆ
- เช็ค หรือหนังสือคำสั่งใดๆ ซึ่งใช้แทนเช็ค
- ค่าอากรแสตมป์ 3 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้สั่งจ่าย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้สั่งจ่าย
- ใบรับฝากเงินประเภทประจำของธนาคารโดยมีดอกเบี้ย
- ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับฝาก
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับฝาก
- เลตเตอร์ออฟเครดิต แยกตามสถานที่ออกเป็น
- ออกในประเทศไทย ซึ่งแยกตามจำนวนเงินเป็น
- เงินต่ำกว่า 10,000 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 20 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ออกตราสาร
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ออกตราสาร
- เงินตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป
- ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ออกตราสาร
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ออกตราสาร
- เงินต่ำกว่า 10,000 บาท
- ออกในต่างประเทศ และให้ชำระเงินในประเทศไทย คราวละ
- ค่าอากรแสตมป์ 20 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ทรงตราสารคนแรกในประเทศไทย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ทรงตราสารคนแรกในประเทศไทย
- ออกในประเทศไทย ซึ่งแยกตามจำนวนเงินเป็น
- เช็คเดินทาง
- ออกในประเทศไทย ฉบับละ
- ค่าอากรแสตมป์ 3 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ออกเช็ค
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ออกเช็ค
- ออกในต่างประเทศ แต่ให้ชำระในประเทศไทย ฉบับละ
- ค่าอากรแสตมป์ 3 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ทรงคนแรกในประเทศไทย
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ทรงคนแรกในประเทศไทย
- ออกในประเทศไทย ฉบับละ
- ใบรับของ ซึ่งออกให้จากกิจการรับขนส่งสินค้า
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ออกใบรับ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ออกใบรับ
- ค้ำประกัน แยกตามจำนวนเงินเป็น
- สำหรับกรณีที่ไม่จำกัดจำนวนเงินไว้
- ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ค้ำประกัน
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ค้ำประกัน
- สำหรับจำนวนเงินไม่เกิน 1,000 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ค้ำประกัน
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ค้ำประกัน
- สำหรับจำนวนเงินที่เกิน 1,000 บาทแต่ไม่เกิน 10,000 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ค้ำประกัน
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ค้ำประกัน
- สำหรับจำนวนเงินเกิน 10,000 บาท ขึ้นไป
- ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ค้ำประกัน
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ค้ำประกัน
- ข้อยกเว้น
- ค้ำประกันหนี้จากการที่รัฐบาลให้ราษฎรกู้ยืมเพื่อการบริโภค หรือการเกษตรกรรม
- ค้ำประกันหนี้จากสหกรณ์ ที่ให้สมาชิกกู้ยืม
- สำหรับกรณีที่ไม่จำกัดจำนวนเงินไว้
- จำนำ แยกตามจำนวนหนี้เป็น
- จำนวนหนี้ทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับจำนำ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับจำนำ
- ไม่จำกัดจำนวนหนี้ไว้
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้รับจำนำ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้รับจำนำ
- ข้อยกเว้น
- ตั๋วจำนำของโรงจำนำที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย
- จำนำอันเกี่ยวกับการกู้ยืม ซึ่งได้ปิดแสตมป์ครบตามข้อ 5 แล้ว
- จำนวนหนี้ทุก 2,000 บาท หรือเศษของ 2,000 บาท
- ใบรับของคลังสินค้า
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ นายคลังสินค้า
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ นายคลังสินค้า
- คำสั่งให้ส่งมอบของ
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ออกคำสั่ง
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ออกคำสั่ง
- ตัวแทน แยกเป็น
- มอบอำนาจเฉพาะการ
- ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ตัวการ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ตัวการ
- มอบอำนาจทั่วไป
- ค่าอากรแสตมป์ 30 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ตัวการ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ตัวการ
- ข้อยกเว้น การตั้งตัวแทนจากสหกรณ์
- มอบอำนาจเฉพาะการ
- คำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ แยกตามจำนวนเงินเป็น
- ในกรณีพิพาทกันด้วยจำนวนเงิน หรือราคาทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ อนุญาโตตุลาการ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ อนุญาโตตุลาการ
- ในกรณีซึ่งไม่ระบุจำนวนเงิน
- ค่าอากรแสตมป์ 10 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ อนุญาโตตุลาการ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ อนุญาโตตุลาการ
- ในกรณีพิพาทกันด้วยจำนวนเงิน หรือราคาทุกจำนวนเงิน 1,000 บาท หรือเศษของ 1,000 บาท
- คู่ฉบับหรือคู่ฉีกแห่งตราสาร แยกเป็น
- ต้นฉบับเสียอากรไม่เกิน 5 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ
- ถ้าไม่มีคู่สัญญา ให้ผู้ที่เสียอากรสำหรับต้นฉบับ
- ถ้ามีคู่สัญญา ให้เป็นคู่สัญญา
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ที่ขีดฆ่าต้นฉบับ
- ต้นฉบับเสียอากรเกิน 5 บาท
- ค่าอากรแสตมป์ 5 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ
- ถ้าไม่มีคู่สัญญา ให้ผู้ที่เสียอากรสำหรับต้นฉบับ
- ถ้ามีคู่สัญญา ให้เป็นคู่สัญญา
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ที่ขีดฆ่าต้นฉบับ
- ข้อยกเว้น ถ้าฝ่ายที่ต้องเสียอากรเป็นสหกรณ์
- ต้นฉบับเสียอากรไม่เกิน 5 บาท
- หนังสือบริคณห์สนธิของบริษัทจำกัด ที่ส่งต่อนายทะเบียน
- ค่าอากรแสตมป์ 200 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้เริ่มก่อการ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้เริ่มก่อการ
- ข้อบังคับของบริษัทจำกัด ที่ส่งต่อนายทะเบียน
- ค่าอากรแสตมป์ 200 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ กรรมการ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ กรรมการ
- ข้อบังคับใหม่ หรือสำเนาหนังสือบริคณห์สนธิหรือข้อบังคับที่เปลี่ยนแปลง ที่ส่งต่อนายทะเบียน
- ค่าอากรแสตมป์ 50 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ กรรมการ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ กรรมการ
- หนังสือสัญญาห้างหุ้นส่วน แยกเป็น
- หนังสือสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน
- ค่าอากรแสตมป์ 100 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้เป็นหุ้นส่วน
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้เป็นหุ้นส่วน
- หนังสือสัญญาที่แก้ไขสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน
- ค่าอากรแสตมป์ 50 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้เป็นหุ้นส่วน
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้เป็นหุ้นส่วน
- หนังสือสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วน
- ใบรับ เฉพาะตามที่ระบุต่อไปนี้
- ใบรับรางวัลสลากกินแบ่งของรัฐบาล
- ใบรับสำหรับการโอน หรือก่อตั้งสิทธิใดๆเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องมีการจดทะเบียนตามกฎหมาย
- ใบรับสำหรับการขาย ขายฝาก ให้เช่าซื้อ หรือโอนกรรมสิทธิ์ยานพาหนะ ทั้งนี้เฉพาะยานพาหนะที่ต้องมีการจดทะเบียน
- ค่าอากรแสตมป์ 1 บาท
- ผู้ที่ต้องเสียอากร คือ ผู้ออกใบรับ
- ผู้ที่ต้องขีดฆ่าแสตมป์ คือ ผู้ออกใบรับ
- ข้อยกเว้น ใบรับสำหรับรายรับที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือภาษีธุรกิจเฉพาะ
บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอนในราวิชาอินเตอร์เน็ตในชีวิตประจำวัน
วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
บัญชีอัตราอากรแสตมป์
วันอังคารที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
กิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
กิจการที่ไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
การประกอบกิจการต่อไปนี้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
1. กิจการของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
2. กิจการของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
3. กิจการของสหกรณ์ออมทรัพย์ เฉพาะการให้กู้ยืมแก่สมาชิกหรือแก่สหกรณ์ออมทรัพย์อื่น
4. กิจการของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
5. กิจการของการเคหะแห่งชาติ เฉพาะการขายหรือให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์
6. กิจการรับจำนำของกระทรวง ทบวง กรม และราชการส่วนท้องถิ่น
7. กิจการขายหลักทรัพย์ ตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในตลาดหลักทรัพย์
8. กิจการของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม
9. กิจการของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
10. กิจการของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
11. กิจการของกองทุนสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
12. กิจการขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน
13. กิจการของบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
14. กิจการของนิติบุคคลเฉพาะกิจในส่วนที่เกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์เฉพาะกรณี ดังต่อไปนี้
(1) กิจการที่เกิดขึ้นเนื่องจากการรับโอนทรัพย์สินจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น หรือการโอนทรัพย์สินดังกล่าวคืนให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น
(2) กิจการที่ได้รับโอนมาจากผู้โอนซึ่งได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/3 แห่งประมวลรัษฎากร
15. กิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นในส่วนที่เกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์ เฉพาะที่เกิดขึ้นเนื่องจากการโอนทรัพย์สินให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจ หรือการรับโอนทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนจากนิติบุคคลเฉพาะกิจ
16. กิจการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบัน การเงิน และกองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ และการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร
17. กิจการของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย
18. กิจการของการเคหะแห่งชาติ เฉพาะการให้กู้ยืมเงินตามโครงการพัฒนาคนจนในเมือง
19. กิจการของสหกรณ์ประเภทสหกรณ์บริการ ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นสหกรณ์ที่เป็นสมาชิกของโครงการพัฒนาคนจนในเมืองของการเคหะแห่งชาติ และได้รับเงินกู้ตามโครงการดังกล่าว
(2) ต้องนำเงินที่ได้รับไปจัดซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อขายต่อให้แก่สมาชิกของสหกรณ์นั้น
20. กิจการของสถาบันการเงิน ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์ เฉพาะกรณีที่
(1) สถาบันการเงินนั้นถือหุ้นในบริษัทบริหารสินทรัพย์เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมด ที่มีสิทธิออกเสียงหรือในกรณีที่สถาบันการเงินนั้นถือหุ้นในบริษัทบริหารสินทรัพย์และสถาบันการเงินนั้นไม่เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง จะต้องมีนิติบุคคลรายหนึ่งถือหุ้นในบริษัทบริหารสินทรัพย์และสถาบันการเงินนั้น เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง
(2) เป็นรายรับที่ได้จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ เนื่องจากการให้สินเชื่อแก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ เพื่อรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ของสถาบันการเงินนั้น หรือสถาบันการเงินอื่นที่มี สถาบันการเงินนั้นถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมด ที่มีสิทธิออกเสียง หรือการให้สินเชื่อแก่บริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อใช้ใน การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่รับซื้อหรือรับโอนจากสถาบันการเงินนั้น หรือสถาบันการเงินอื่นที่มีสถาบันการเงินนั้น ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง
21. กิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรเนื่องจาก
(1) การรับไถ่อสังหาริมทรัพย์จากการขายฝาก หรือการไถ่อสังหาริมทรัพย์จากการขายฝาก โดยการวางทรัพย์ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในเวลาที่กำหนด ได้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
(2) การขายอสังหาริมทรัพย์ภายหลังที่ได้ไถ่จากการขายฝาก ซึ่งเมื่อรวมระยะเวลาการได้มาซึ่ง อสังหาริมทรัพย์ก่อนการขายฝาก ระยะเวลาระหว่างการขายฝาก และระยะเวลาภายหลังจากการขายฝากแล้วเกินห้าปี
22. กิจการของรัฐวิสาหกิจในส่วนของรายรับที่ได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ อันเนื่องมาจากการนำทุนบางส่วน หรือทั้งหมดมาเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบ ของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจ
23. กิจการของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เฉพาะการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
24. กิจการของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
25. กิจการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาการศึกษาโรงเรียนเอกชน ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน
26. กิจการของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่กฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมีผลใช้บังคับ
27. กิจการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้องที่จัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์และการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร
28. กิจการของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เฉพาะการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ และการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป
29. กิจการของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้รับโอน เนื่องจากการให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
30. กิจการของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
31. กิจการขายข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้า ตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
32. กิจการขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่เปิดทำการ ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นเป็นต้นไป
33. กิจการของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) เฉพาะการให้กู้ยืมเงินแก่รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือ พัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘
34. กิจการของสถาบันคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
35. การโอนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเกิดจากการแยกกิจการประกันชีวิต และกิจการประกันวินาศภัยออกจากกัน ตามมาตรา 127 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 หรือตามมาตรา 121 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535
36. การขายอสังหาริมทรัพย์ขององค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ หรือบริษัทจำกัดที่สถาบันการเงิน ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2540 ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการบริหาร สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์โดยความเห็นชอบ ของธนาคารแห่งประเทศไทย
37. การขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบกิจการให้แก่องค์การฯ หรือบริษัทจำกัดตาม 36.
ที่มา http://www.rd.go.th/publish/682.0.html
การประกอบกิจการต่อไปนี้ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ
1. กิจการของธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
2. กิจการของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
3. กิจการของสหกรณ์ออมทรัพย์ เฉพาะการให้กู้ยืมแก่สมาชิกหรือแก่สหกรณ์ออมทรัพย์อื่น
4. กิจการของกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
5. กิจการของการเคหะแห่งชาติ เฉพาะการขายหรือให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์
6. กิจการรับจำนำของกระทรวง ทบวง กรม และราชการส่วนท้องถิ่น
7. กิจการขายหลักทรัพย์ ตามกฎหมายว่าด้วยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในตลาดหลักทรัพย์
8. กิจการของบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อม
9. กิจการของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม
10. กิจการของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
11. กิจการของกองทุนสิ่งแวดล้อม ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
12. กิจการขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน
13. กิจการของบรรษัทบริหารสินทรัพย์สถาบันการเงิน
14. กิจการของนิติบุคคลเฉพาะกิจในส่วนที่เกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์เฉพาะกรณี ดังต่อไปนี้
(1) กิจการที่เกิดขึ้นเนื่องจากการรับโอนทรัพย์สินจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น หรือการโอนทรัพย์สินดังกล่าวคืนให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น
(2) กิจการที่ได้รับโอนมาจากผู้โอนซึ่งได้รับยกเว้นภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 91/3 แห่งประมวลรัษฎากร
15. กิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นในส่วนที่เกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์ เป็นหลักทรัพย์ เฉพาะที่เกิดขึ้นเนื่องจากการโอนทรัพย์สินให้แก่นิติบุคคลเฉพาะกิจ หรือการรับโอนทรัพย์สินดังกล่าวกลับคืนจากนิติบุคคลเฉพาะกิจ
16. กิจการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบัน การเงิน และกองทุนรวมเพื่อแก้ไขปัญหาในระบบสถาบันการเงินที่จัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ และการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร
17. กิจการของบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย
18. กิจการของการเคหะแห่งชาติ เฉพาะการให้กู้ยืมเงินตามโครงการพัฒนาคนจนในเมือง
19. กิจการของสหกรณ์ประเภทสหกรณ์บริการ ซึ่งดำเนินการเกี่ยวกับการจัดหาที่อยู่อาศัยให้แก่สมาชิก เฉพาะกรณีดังต่อไปนี้
(1) ต้องเป็นสหกรณ์ที่เป็นสมาชิกของโครงการพัฒนาคนจนในเมืองของการเคหะแห่งชาติ และได้รับเงินกู้ตามโครงการดังกล่าว
(2) ต้องนำเงินที่ได้รับไปจัดซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อขายต่อให้แก่สมาชิกของสหกรณ์นั้น
20. กิจการของสถาบันการเงิน ตามกฎหมายว่าด้วยบริษัทบริหารสินทรัพย์ เฉพาะกรณีที่
(1) สถาบันการเงินนั้นถือหุ้นในบริษัทบริหารสินทรัพย์เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมด ที่มีสิทธิออกเสียงหรือในกรณีที่สถาบันการเงินนั้นถือหุ้นในบริษัทบริหารสินทรัพย์และสถาบันการเงินนั้นไม่เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง จะต้องมีนิติบุคคลรายหนึ่งถือหุ้นในบริษัทบริหารสินทรัพย์และสถาบันการเงินนั้น เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง
(2) เป็นรายรับที่ได้จากบริษัทบริหารสินทรัพย์ เนื่องจากการให้สินเชื่อแก่บริษัทบริหารสินทรัพย์ เพื่อรับซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ของสถาบันการเงินนั้น หรือสถาบันการเงินอื่นที่มี สถาบันการเงินนั้นถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมด ที่มีสิทธิออกเสียง หรือการให้สินเชื่อแก่บริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อใช้ใน การบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ที่รับซื้อหรือรับโอนจากสถาบันการเงินนั้น หรือสถาบันการเงินอื่นที่มีสถาบันการเงินนั้น ถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง
21. กิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางการค้าหรือหากำไรเนื่องจาก
(1) การรับไถ่อสังหาริมทรัพย์จากการขายฝาก หรือการไถ่อสังหาริมทรัพย์จากการขายฝาก โดยการวางทรัพย์ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในเวลาที่กำหนด ได้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
(2) การขายอสังหาริมทรัพย์ภายหลังที่ได้ไถ่จากการขายฝาก ซึ่งเมื่อรวมระยะเวลาการได้มาซึ่ง อสังหาริมทรัพย์ก่อนการขายฝาก ระยะเวลาระหว่างการขายฝาก และระยะเวลาภายหลังจากการขายฝากแล้วเกินห้าปี
22. กิจการของรัฐวิสาหกิจในส่วนของรายรับที่ได้รับจากการขายอสังหาริมทรัพย์ อันเนื่องมาจากการนำทุนบางส่วน หรือทั้งหมดมาเปลี่ยนสภาพเป็นหุ้นในรูปแบบ ของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัดตามกฎหมายว่าด้วยทุนรัฐวิสาหกิจ
23. กิจการของสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เฉพาะการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์
24. กิจการของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
25. กิจการเงินทุนหมุนเวียนเพื่อพัฒนาการศึกษาโรงเรียนเอกชน ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน
26. กิจการของกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่กฎหมายว่าด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการมีผลใช้บังคับ
27. กิจการของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิเรียกร้องที่จัดตั้งขึ้น ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์และการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร
28. กิจการของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เฉพาะการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ และการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2535 เป็นต้นไป
29. กิจการของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย เฉพาะการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้รับโอน เนื่องจากการให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
30. กิจการของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ตามกฎหมายว่าด้วยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2545 เป็นต้นไป
31. กิจการขายข้อตกลงซื้อขายล่วงหน้า ตามกฎหมายว่าด้วยการซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป
32. กิจการขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่เปิดทำการ ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้านั้นเป็นต้นไป
33. กิจการของสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) เฉพาะการให้กู้ยืมเงินแก่รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน รัฐวิสาหกิจ หรือสถาบันการเงินของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานความร่วมมือ พัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) พ.ศ. ๒๕๔๘
34. กิจการของสถาบันคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
35. การโอนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเกิดจากการแยกกิจการประกันชีวิต และกิจการประกันวินาศภัยออกจากกัน ตามมาตรา 127 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ.2535 หรือตามมาตรา 121 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ.2535
36. การขายอสังหาริมทรัพย์ขององค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ หรือบริษัทจำกัดที่สถาบันการเงิน ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การบริหารสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2540 ได้จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินการบริหาร สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์โดยความเห็นชอบ ของธนาคารแห่งประเทศไทย
37. การขายอสังหาริมทรัพย์ของผู้ประกอบกิจการให้แก่องค์การฯ หรือบริษัทจำกัดตาม 36.
ที่มา http://www.rd.go.th/publish/682.0.html
วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ภาษีรถคันแรก
หลักเกณฑ์การคืนภาษีรถคันแรก
1. ต้องเป็นรถยนต์คันแรกของผู้ซื้อ
2. ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน พ.ศ.2554-31 ธันวาคม พ.ศ.2555
3. เป็นรถยนต์ราคาขายปลีกไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคัน
4. เป็นรถยนต์นั่ง ขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร/รถกระบะ (Pick up)/รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก (Double Cab)
5.เป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศ (รถยนต์จดประกอบ)
6. คืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคัน
7. ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
8. ผู้ซื้อต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี หากผู้ซื้อรถไม่สามารถผ่อนต่อได้ หรือมีเหตุอย่างอื่น จะต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการ ทางกรมสรรพสามิตจะใช้วิธีการทางศาล เพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์
9. การคืนเงินจะคืนเมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปีไปแล้ว โดยจะเริ่มจ่ายคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป ซึ่งกรมสรรพสามิตจะจ่ายผ่านทางเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวน
10. สามารถซื้อรถแบบเงินผ่อนผ่านไฟแนนซ์ หรือเงินสดก็ได้
11. รถมือสองไม่สามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้ เนื่องจากรถมือสองไม่มีภาษีสรรพสามิตในการซื้อ-ขาย
หากผู้ซื้อมีคุณสมบัติและหลักเกณฑ์ดังข้างต้นแล้ว ก็เตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอใช้สิทธิ์ซื้อ "รถคันแรก" ได้เลย ซึ่งประกอบไปด้วย...
1. สำเนาบัตรประชาชน
2. สำเนาทะเบียนบ้าน
3. สำเนาหนังสือสัญญาเช่าซื้อ (ในกรณีเช่าซื้อ)
4. สำเนาคู่มือการจดทะเบียน
5. หนังสือยินยอมสละสิทธิ์การโอนรถยนต์คันแรกภายใน 5 ปี
6. หลักฐานการซื้อขายรถยนต์ (ใบจอง/สัญญาซื้อขาย)
ที่มา : http://men.kapook.com/view38977.html
อากรสแตมป์
คำว่า “ตราสาร” ตามประมวลรัษฎากรหมายถึง เอกสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตรา อากรแสตมป์ ซึ่งปัจุจบันมีทั้งหมด 28 ลักษณะตราสาร เช่น ตราสารเช่าที่กับโรงเรือน เช่าซื้อทรัพย์สิน จ้างทำของ กู้ยืมเงิน ฯลฯ อากรแสตมป์เป็นภาษีอากรที่จัดเก็บจากการกระทำตราสาร โดยคำว่า กระทำ หมายความว่า การลงลาย มือชื่อตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
|
วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ความหมายของภาษีอากร
ความหมายของภาษีอากร
ภาษีอากร กลุ่มนักวิชาการด้านภาษีอากรได้แบ่งความหมายไว้เป็น 2 แนวทางดังนี้ แนวทางที่หนึ่ง ภาษีอากร คือ สิ่งที่รัฐบาลบังคับเก็บจากราษฎร และนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม โดยมิได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียอากร แนวทางที่สอง ภาษีอากร คือ เงินได้หรือทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายจากภาค เอกชนไปสู่ภาครัฐบาล แต่ไม่รวมถึงการกู้ยืมหรือขายสินค้าหรือให้บริการในราคาทุนโดยรัฐบาล
ความหมายของการบัญชี
การบัญชี คือ การจัดการข้อมูลทางการเงิน ซึ่งได้แก่ การเก็บรวบรวมบันทึก จำแนก และสรุปผล เพื่อจัดทำรายงานทางการเงิน ความหมายของการบัญชีการเงินและการบัญชี ภาษีอากร
การบัญชีการเงิน คือ การจัดทำบัญชีตามมาตรฐานการบัญชีเพื่อจัดทำงบการเงินเสนอต่อเจ้าของกิจการหรือบุคคลภายนอก การบัญชีภาษีอากร (Tax Accounting) เป็นการนำหลักการบัญชีที่รับรองทั่วไปหรือมาตรฐานการบัญชีมาปรับให้สอดคล้องกับประมวลรัษฎากรและกฎหมายภาษีอากรต่างๆ
สาระสำคัญของพระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ.2543
1. กำหนดผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ได้แก่ - ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน - บริษัทจำกัด - บริษัทมหาชนจำกัด - นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย - กิจกรรมร่วมค้าตามประมวลรัษฎากร สำหรับ บุคคลธรรมดาและห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียน ไม่ต้องจัดทำบัญชี เว้นแต่รัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีจะออกประกาศให้เป็นผู้ที่มี หน้าที่จัดทำบัญชี
2. กำหนดความรับผิดชอบในการจัดทำบัญชี 2.1 ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี 1) ต้องจัดให้มีการทำบัญชีให้ถูกต้องตามรายละเอียด หลักเกณฑ์ และวิธีการตามที่กฎหมายกำหนดนับแต่วันเริ่มทำบัญชี 2) ต้องส่งมอบเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้แก่ผู้ทำบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน
3) ต้อง ปิดบัญชีและจัดทำงบการเงินโดยมีรายการย่อตามที่อธิบดีประกาศกำหนดโดยความ เห็นชอบของรัฐมนตรี พร้อมทั้งยื่นงบการเงินต่อสำนักงานกลางบัญชีหรือสำนักงานบัญชีประจำท้องที่ 4) ต้องจัดให้งบการเงินได้รับการตรวจสอบและแสดงความเห็นโดย ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต 5) ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานที่ทำการหรือสถานที่ที่ใช้เป็นที่ทำการผลิตหรือเก็บสินค้าเป็นประจำ 6) ต้องจัดให้มีผู้ทำบัญชีซึ่งเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่อธิบดีกำหนด 7) มีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ทำบัญชีให้จัดทำบัญชีให้ตรงต่อความเป็นจริง และถูกต้องตามกฎหมาย 2.2 ผู้ทำบัญชี 1) ต้อง จัดทำบัญชีเพื่อให้มีการแสดงผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน หรือการเปลี่ยนแปลงฐานะการเงินของผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ที่เป็นอยู่ตามความเป็นจริงและตามมาตรฐานการบัญชี โดยมีเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชีให้ถูกต้องครบถ้วน
2) ต้อง ลงรายการเป็นภาษาไทย หากลงรายการเป็นภาษาต่างประเทศ ให้มีภาษาไทยกำกับ หากลงรายการเป็นรหัสบัญชี ให้มีคู่มือ คำแปลรหัสเป็นภาษาไทยไว้ 3. กำหนดอำนาจในการตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่ต้องใช้ประกอบการลงบัญชี
4. บทกำหนดโทษ4.1 ความผิดที่มีระวางโทษปรับ 4.2 ความผิดที่มีระวางโทษปรับและจำคุก กฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชี 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 2. พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด 3. พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 4. ประมวลรัษฎากร
การจัดทำบัญชีตามประมวลรัษฎากร
1. การจัดทำบัญชีของผู้มีหน้าที่เสียภาษี
1.1 การจัดทำบัญชีตามมาตรา 17 วรรคสอง - ให้ อธิบดีโดยอนุมัติรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งบุคคลทั่วไปให้มีบัญชีพิเศษ และให้กรอกข้อความที่ต้องการลงในบัญชีนั้น คำสั่งเช่นว่านี้ให้ประกาศในราชกิจจา- นุเบกษา - ให้ อธิบดีมีอำนาจกำหนดให้ผู้ยื่นรายการหรือผู้เสียภาษีอากรทำบัญชีงบดุลหรือ บัญชีอื่นๆ แสดงรายการหรือแจ้งข้อความใดๆ และยื่นต่อเจ้าพนักงานประเมิน พร้อมกับการยื่นรายการตามแบบแสดงรายการที่อธิบดีกำหนด อธิบดีกรมสรรพากรได้ออกประกาศหลายฉบับ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 วรรคสอง ให้ผู้เสียภาษีจัดทำบัญชีและบัญชีพิเศษดังนี้ 1) ผู้ประกอบธุรกิจที่เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้จัดทำบัญชีแสดงรายได้หรือรายรับเป็นประจำวัน 2) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่มีธุรกรรมตามประกาศอธิบดีฯ ให้จัดทำบัญชีพิเศษตามแบบที่กำหนด 1.2 การจัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มและรายงานภาษีธุรกิจเฉพาะ 1) ให้ ผู้ประกอบกิจการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มจัดทำรายงานเกี่ยวกับการเสียภาษี มูลค่าเพิ่มดังต่อไปนี้ โดยให้จัดทำเป็นรายสถานประกอบการ (มาตรา 87) (1) รายงานภาษีขาย (2) รายงานภาษีซื้อ (3) รายงานสินค้าและวัตถุดิบ (กรณีที่ผลิตและ/หรือขายสินค้า) 2) ให้ ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีธุรกิจเฉพาะจัดทำรายงานแสดงรายรับก่อนหักรายจ่าย ที่ต้องเสียภาษีและรายรับที่ไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีตามที่อธิบดีกำหนด และให้จัดทำโดยแยกตามรายสถานประกอบการ (มาตรา 91/14) 2. การจัดทำงบการเงิน 3. การตรวจสอบและรับรองบัญชี ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา = เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี (ก้าวหน้า) หลักเกณฑ์การบัญชีเพื่อคำนวณกำไรสุทธิ
1. คำนิยามขององค์ประกอบของงบการเงิน
1.1 สินทรัพย์ หมายถึง ทรัพยากรที่อยู่ในความควบคุมของกิจการ ทรัพยากรดังกล่าวเป็นผลของเหตุการณ์ในอดีตซึ่งกิจการคาดว่าจะได้รับประโยชน์ เชิงเศรษฐกิจจากทรัพยากรนั้นในอนาคต 1.2 หนี้สิน หมายถึง ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการ ภาระผูกพันดังกล่าวเป็นผลของเหตุการณ์ในอดีต ซึ่งการชำระภาระผูกพันนั้นคาดว่าจะส่งผลให้กิจการสูญเสียทรัพยากรที่มี ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ 1.3 ส่วนของเจ้าของ หมายถึง ส่วนได้เสียคงเหลือในสินทรัพย์ของกิจการหลังจากหักหนี้สินทั้งสิ้นออกแล้ว 1.4 รายได้ หมายถึง การเพิ่มขึ้นของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในรอบระยะเวลาบัญชีในรูปกระแสเข้าหรือ การเพิ่มค่าของสินทรัพย์ หรือการลดลงของหนี้สิน อันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ไม่รวมถึงเงินทุนที่ได้รับจากเจ้าของ 1.5 ค่าใช้จ่าย หมายถึง การลดของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในรอบระยะเวลาบัญชีในรูปของกระแสออก หรือการลดลงของสินทรัพย์ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน อันส่งผลให้ส่วนของเจ้าของลดลง ทั้งนี้ไม่รวมถึงการแบ่งปันส่วนทุนให้กับผู้มีส่วนร่วมในส่วนของเจ้าของ 2. การรับรู้รายการ 2.1 การรับรู้รายได้ ให้รับรู้ในงบกำไรขาดทุน เมื่อเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการ ดังนี้ 1) เมื่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของสินทรัพย์ หรือส่วนที่ลดลงของหนี้สิน 2) เมื่อกิจการสามารถวัดค่าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ 2.2 การรับรู้ค่าใช้จ่าย ให้รับรู้ในงบกำไรขาดทุน เมื่อเข้าเงื่อนไขทั้ง 2 ประการคือ 1) เมื่อประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตลดลง เนื่องจากการลดลงของสินทรัพย์ หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สิน 2) เมื่อกิจการสามารถวัดค่าของประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างน่าเชื่อถือ 3. ข้อสมมติในการจัดทำงบการเงิน 3.1 เกณฑ์คงค้าง 3.2 หลักการดำเนินงานต่อเนื่อง
เงินได้พึงประเมินเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเงินได้สุทธิ = เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน การคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 1. เกณฑ์ที่ใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล 2. การผ่อนปรนการใช้เกณฑ์สิทธิ 3. เงื่อนไขเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่าย ภาระหน้าที่ของผู้มีหน้าที่เสียภาษี
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 1.2 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี 2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล 2.1 ภาษีเงินได้นิติบุคคลประจำปี 2.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคลครึ่งรอบระยะเวลาบัญชี 3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.1 ผู้ประกอบการที่ขายสินค้าและ/หรือให้บริการในราชอาณาจักร 3.2 ผู้ประกอบการที่จ่ายค่าบริการที่ทำในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ความรับผิดชอบของผู้มีหน้าที่เสียภาษี
1. ความรับผิดทางอาญา 2. ความรับผิดทางแพ่ง
การขอคืนภาษี
1. ให้ ผู้ที่ชำระภาษีไว้เกินขอคืนภาษีได้ภายใน 3 ปี นับแต่วันสุดท้ายของกำหนดเวลายื่นรายการภาษีหรือนับแต่วันที่ยื่นรายการ (กรณียื่นเกินกว่ากำหนดเวลา) หรือนับแต่วันได้รับแจ้งค่าวินิจฉัยอุทธรณ์ หรือวันที่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แล้วแต่กรณี โดยยื่นคำร้อง (แบบ ค. 10) ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่เขต การขอคืนภาษีในต่างจังหวัดให้ยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ณ ที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ โดยให้แนบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน ซึ่งจะได้รับคืนเป็นเช็คสั่งจ่ายผู้ขอคืนภาษี
ผู้ มีอำนาจสั่งคืนภาษีจะพิจารณาคืนให้ภายใน 60 วัน นับแต่วันได้คำร้อง โดยแจ้งเป็นหนังสือ (แบบ ค. 20) ไปยังผู้ขอคืนเพื่อแจ้งการโอนเงินค่าภาษีที่ขอคืน หรือแจ้งให้ไปรับคืนค่าภาษีได้ และกรอกข้อความและลงนามในช่องขอคืนเงินภาษีพร้อมทั้งแนบเอกสารที่เกี่ยวข้อง ให้ครบถ้วน 2. ผู้ที่ชำระภาษี หรือถูกหักภาษีไว้เกินกว่าจำนวนภาษีที่ต้องเสีย จะขอคืนภาษีโดยไม่ยื่นคำร้อง (แบบ ค. 10) ก็ได้ ซึ่งต้องรอให้ถึงระยะเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ประจำปี และกรอกข้อความลงนามในช่องขอคืนเงินภาษีพร้อมทั้งแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ ครบถ้วน
อำนาจการประเมินภาษี
สรุปอำนาจของเจ้าพนักงานประเมินภาษีในการประเมินภาษีอากร
1. ใน กรณีที่จำเป็นเพื่อรักษาประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีอากร เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจที่จะประเมินเรียกเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลายื่น รายการได้ตามมาตรา 18 ทวิ 2. ประเมิน ภาษีตามรายการที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้ยื่นแบบแสดงรายการไว้ ถ้าประเมินแล้วมีภาษีอากรที่ต้องเรียกเก็บเพิ่ม เจ้าพนักงานประเมินต้องแจ้งจำนวนภาษีอากรไปยังผู้เสียภาษีตามมาตรา 18 และมาตรา 88/53. ประเมิน ภาษีตามรายการที่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีได้ยื่นรายการไม่ครบถ้วน หรือไม่ยื่นรายการมาไต่สวนหรือออกหมายเรียกพยานคำสั่งให้นำบัญชีหรือพยาน หลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ ทั้งนี้การออกหมายเรียกดังกล่าวต้องกระทำภายในกำหนดเวลาตามมาตรา 18 มาตรา 23 มาตรา 27 จัตวา มาตรา 88 และมาตรา 88/6 4. เข้า ไปในสถานประกอบการหรือสถานที่อื่นที่เกี่ยวข้องระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระ อาทิตย์ตกหรือระหว่างเวลาทำการของผู้ประกอบการ และทำการตรวจสอบเพื่อให้ทราบว่าได้มีการปฏิบัติตามประมวลรัษฎากรหรือไม่โดย ให้เจ้าพนักงานแสดงบัตรประจำตัวของผู้ที่เกี่ยวข้องเมื่อเข้าไปทำการตรวจสอบ ตามมาตรา 88/3 5. อำนาจการประเมินเงินได้ เจ้าพนักงานประเมินภาษีมีอำนาจในการประเมินภาษีตามประมวลรัษฎากร 6. อำนาจในการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีธุรกิจเฉพาะตามมาตรา 88 และมาตรา 91/21(5)
ที่มา http://planet.kapook.com/buncheepasi/blog/viewnew/31831
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)